สำนักงานที่ปรึกษากฎหมายและวิศวกรรม รังสรรค์ วงษ์บุญ
Office of Law and Engineering Consultants
Management of Heavy Construction Equipment for Civil Engineer
บรรณานุกรม | |
1. |
Komatsu Specification and Application Handbook ; Edition
10 หรือ
http://www.bangkokmotorworks.com/thai/komatsu_heavy_hydraulic.html หรือ http://www.komatsu.com/ce/ |
2. | Caterpillar Performance Handbook ; 23 rd Edition หรือ http://www.cat.com/cda/layout?m=37840&x=7 |
3. | Construction Method and Management ; S.W. Nunnally and Professor Emeritus;3 rd Edition,Prentice Hall Career & Technology,Englewood Cliffs,New Jersey 07632 |
4. |
คู่มือผู้บริหารเครื่องจักรกล เรื่อง
การจัดชุดเครื่องจักรก่อสร้างทาง , ตอนที่ 2 การคำนวณปริมาณงานต่อชั่วโมง และ
การจัดชุดเครื่องจักร ศูนย์เครื่องมือกลการจนบุรี กรมทางหลวง , 1 พฤษภาคม 2527 |
001 |
Soil weight - volume characteristics & relationship |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ปริมาตรของดินที่เปลี่ยนไปตามลักษณะการทำงานทางด้านวิศวกรรม
Density = Weight / Unit volume Swell factor = 1 + % swell = 1 + ( 29.927 / 100 ) = 1.30
Shrinkage หรือ
การหดตัวของวัสดุหลังจากถูกบดอัด Shrinkage factor = 1 - % Shrinkage = 1 - ( 20 / 100 ) = 0.80
BCM = CCM / Shrinkage factor
ตารางแสดงความสัมพันธ์ระหว่างน้ำหนัก และ ปริมาตรของวัสดุที่ใช้บ่อยโดยประมาณ
การบดอัดหินจะได้ความแน่นน้อยกว่าความแน่นของหินเมื่ออยู่ในที่เดิมก่อนระเบิดออกมา เพื่อให้ง่าย KOMATSU ได้ทำตารางเปลี่ยนแปลงสถานะของดิน โดยมีตัวอย่างการใช้ ดังต่อไปนี้ เช่น
ตัวอย่างเช่น
|
ตารางแสดง
Unified
system of soil classification-field identification
|
Construction Characteristics of Soil ( Unified System )
Soil compaction guide ( Unified System )
คุณลักษณะของวัสดุที่ทำการบดอัดและข้อกำหนดต่างๆ
|
002 |
คำศัพท์บางคำที่เกี่ยวข้องกับการวางแผนเครื่องจักรกลงานดิน |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
Rolling Resistance ( RR )
อีกวิธีหนึ่งที่ใช้คำนวณ Rolling Resistance ก็คือ การคิดเป็น % of machine weight โดยการสังเกตในสนามพบว่า
ดังนั้น จะได้ความสัมพันธ์ ดังนี้
Rolling Resistance Factor (RRF) = 20 kg/ton + ( 6
kg/ton/cm x ระยะที่ล้อจมลงไปในดิน
cm ) = (kg / ton)
Typical Rolling Resistance
Factors ( 10 kg / metric ton จะมีค่า = 1
% equivalent grade )
Komatsu ได้กำหนดวิธีการหา
Rolling Resistance (RR) ดังนี้
โดยปกติ รถแทรคเตอร์ตีนตะขาบ ถือว่า ไม่มี rolling resistance เพราะวิ่งบนล้อ หรือ บน track ของตัวเอง แต่จะมี traction ระหว่างตีนตะขาบ กับ พื้นผิวที่รถวิ่ง
Grade Resistance
(GR)
เป็นวิธีการวัดแรงที่จะต้องใช้ในการขับเคลื่อนรถให้วิ่งขึ้นเนิน
( uphill ) % Grade = ( rise / run ) x 100 = (vertical distance / horizontal distance) x 100
จากการสังเกตในสนามพบว่า ทุกๆ 1% grade
ที่เพิ่มขึ้น รถจะต้องออกแรงเพิ่มขึ้น 10 kg ทุกๆ
1 ton of GVW หรือ 10 kg
ทุกๆ 1000 kg of GVW
Grade in degrees and percents
ความลาดเอียง 1 องศา จะมีค่า = tan 1˚
x 100 = 1.746 %
แรงต้านการเคลื่อนที่ทั้งหมด (Total Resistance)
จะประกอบไปด้วย แรงต้านการเคลื่อนที่เนื่องจากล้อรถ และ
แรงต้านการเคลื่อนที่เนื่องจากความลาดเอียงของพื้นที่
Total Resistance (kg) = Rolling Resistance (RR)
+ Grade
Resistance (GR) = kg การรู้ค่า Total Effective Grade (%) จะสามารถนำไปเปิดตารางหาตัวแปรอื่นที่เกี่ยวข้องกับการวางแผนการทำงานเกี่ยวกับเครื่องจักรกลงานดินต่อไป
ตัวอย่าง
crawler tractor มี operating
weight 36 tons ใช้ลากรถ scraper
ล้อยางที่มี operating weight 45.5
tons วิ่งขึ้นเนิน 4 %
grade โดยวิ่งบนพื้นผิวที่มีค่า
crawler tractor หรือ รถแทรคเตอร์ตีนตะขาบถือว่าไม่มี
rolling resistance เพราะวิ่งบนล้อ หรือ
track ของตัวเอง ดังนั้น จึงคิดค่า
rolling resistance สำหรับรถล้อยาง
Rolling Resistance kg = Vehicle ' s weight x rolling
resistance factor = 45.5 tons x 50 kg/ton = 2275 kg
ตัวอย่าง
wheel tractor - scraper มี operating weight 91
tons วิ่งขนดินบนพื้นผิวถนนชนิดหนึ่งปรากฏว่าล้อยางจมลงไปในถนนลึก
4 ซม. โดยวิ่งขึ้นเนิน และ ลงเนิน ก. เมื่อรถวิ่งขึ้นเนินที่มี slope 5 %
Rolling Resistance Factor =
20 + ( 6 x penetration cm ) = 20 + ( 6 x 4 ซม.)
= 44 kg / ton
Grade Resistance Factor (GRF) = (10 kg / ton ) x %
Grade = (10 kg / ton ) x 5 % slope = 50 kg / ton
Total Resistance kg = Rolling
Resistance kg + Grade Resistance kg = 4004 +
4550 = 8554 kg ข. เมื่อรถวิ่งลงเนินที่มี slope 5 %
Rolling Resistance Factor =
20 + ( 6 x penetration cm ) = 20 + ( 6 x 4 ซม.)
= 44 kg / ton
Grade Resistance Factor (GRF) = (10 kg / ton ) x %
Grade = (10 kg / ton ) x 5 % slope = 50 kg / ton
Total Resistance kg = Rolling
Resistance kg + Grade Resistance kg = 4004 -
4550 = -546 kg การที่รถวิ่งลงเนินโดยมี Total Resistance ติดลบ ( - 546 kg ) หรือ มี Total Effective Grade ติดลบ ( - 0.6 % ) หมายความว่า ต้องเหยียบเบรคด้วยเมื่อรถวิ่งลงเนิน
Traction
Rated
Drawbar Pull
หรือ
Rated Rimpull
)
Maximum Pull
Coefficient of
Traction for any roadway
Usable Pull or Usable Drawbar
Pull ( UDBP ) =
Coefficient of Traction x
Weight on Drivers = Traction Limitation =
Critical Traction
Pull Required = Total Resistance (kg) = Rolling
Resistance (RR) + Grade Resistance (GR)
Track - type tractor ขนาด
26,800 กก.(น้ำหนักที่ลงบนล้อขับเคลื่อนหรือ weight on
drivers only หรือ Operating Weight )จะสามารถให้
Usable Pull or Usable Drawbar
Pull
จาก UDBP ข้างบน สมมุติว่า ต้องการใช้
Track - type tractor รุ่นนี้ดันดินหนัก 21800
kg บนดินแข็ง หรือ firm earth
จะสามารถดันดินได้เพราะ UDBP
> load
อีกตัวอย่างหนึ่ง เช่น
Track - type tractor ขนาด
11,400 กก.(น้ำหนักที่ลงบนล้อขับเคลื่อนหรือ weight on
drivers only หรือ Operating Weight )
ที่ F2 มี
Rated Drawbar Pull 5920 kg
< Critical drawbar pull 6840 kg
หมายความว่า รถจะสามารถออกแรงดึงเพิ่มได้อีก =
6840 กก. - 5920 กก. =
920 กก. ตัวอย่างเกี่ยวกับ Rimpull
เครื่องจักรกลงานดินชนิดล้อยางชนิดหนึ่งมีน้ำหนักลงบนล้อขับเคลื่อนที่เป็นล้อยาง
( drive wheels ) 23600 kg และน้ำหนักที่ลงบนล้อ
scraper wheels 21800 kg
Usable Rimpull ( URP ) = Coefficient of Traction x Weight on Drivers =
Rimpull Limitation = ให้ใช้ weight on
drivers only หมายความว่า เครื่องจักรรุ่นนี้จะสามารถให้แรงขับล้อ 11800 kg on firm earth และ 9440 kg on loose earth โดยที่ล้อยังไม่หมุนฟรี
Coefficient of traction
factors
Altitude แต่ที่ระดับความสูงมากๆอากาศจะเบาบางทำให้การสันดาปไม่สมบูรณ์ กำลังเครื่องยนต์จะลดลง ความสามารถในการลากจูงจะลดลงไปด้วย
แต่โดยทั่วๆไปในประเทศไทยมักจะทำงานที่ระดับพื้นดินไม่สูงจากระดับน้ำทะเลปานกลางมากนัก
กำลังเครื่องยนต์จะลดลงไปไม่มาก จึงถือว่าไม่ลดลง ตารางการเปลี่ยนหน่วย(Conversion Table)
SI units
cycle time หรือ ระยะเวลาทำงานครบ 1 รอบของเครื่องจักรเครื่องมือ
ระยะเวลาทำงานครบ 1 รอบการทำงานของเครื่องจักรแต่ละชนิดไม่เท่ากัน
แต่จะขึ้นอยู่กับองค์ประกอบหลายประการ เช่น วิธีการทำงาน สภาพถนนที่รถวิ่ง ฯ
เป็นต้น Total cycle time = Fixed time + Variable time
Variable time = total hauling time + total return time Travel time (min.) = Distance m./ speed (m./min) = เวลาที่ใช้ในการวิ่ง Cycles per hour = 60 (min./ hr) / total cycle time (min. / cycle ) = จำนวนรอบที่ทำงานได้ใน 1 ชั่วโมง
Adjusted Production = Hourly Production x Efficiency factor
Komatsu ได้เสนอตารางการคิดค่า
Efficiency factor
ดังนี้
|
003 |
วิธีการวัดปริมาณงานที่ทำได้ของเครื่องจักรกลงานดิน |
1. |
วิธีการวัดปริมาณงานดินที่เครื่องจักรทำได้สามารถวัดได้ 2 แบบ คือ
ก. production on - the - job คือ วัดจากการที่เครื่องจักรทำงานได้จริง หมายถึง ต้องไปทำการวัดในสนามซึ่งทำได้ แต่เสียเวลาและค่าใช้จ่ายมาก ข. production off - the - job คือ วัดโดยการคำนวณจากแบบ และ ทฤษฎีต่างๆที่เกี่ยวข้อง ซึ่งให้ค่าใกล้เคียงกับความจริงพอสมควร แต่เสียเวลา และ ค่าใช้จ่ายน้อยกว่าวิธีแรก วิธีการหาปริมาณงานที่ทำได้จากการทำงานจริง หรือ
production on - the - job เช่น |
2. |
ประสิทธิภาพการทำงานสูงสุดของเครื่องจักรเครื่องมือ
Top machine performance = Lowest possible hourly
cost / Highest possible hourly
productivity Production or productivity
= load per cycles x cycles per hour Cost
per unit of productivity = Equipment cost per hour / Equipment
productivity per hour |
004 |
รหัสเครื่องจักรกลงานดินของ KOMATSU |
1. |
|
2. |
ตัวอย่าง เช่น เครื่องจักร รหัส
D475A - 1 หมายถึง
|
005 |
EQUIPMENT COSTS ราคาค่าเครื่องจักรเครื่องมือประกอบด้วย 2 ส่วนใหญ่ๆ คือ |
1. |
OWNING COSTS ค่าใช้จ่ายในการเป็นเจ้าของ
|
2. |
OPERATING COSTS ค่าใช้จ่ายในการทำงาน
|
การวางแผนงานก่อสร้างที่เกี่ยวข้องกับเครื่องจักร
วงจรการบริหารงาน
ประกอบด้วยขั้นตอนหลัก 3 ขั้นตอน คือ ขั้นตอนการวางแผน(planning)
ขั้นตอนการปฏิบัติงาน(execution)
และขั้นตอนการควบคุม(control)
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
จุดประสงค์ของการวางแผนนั้น
เพื่อรักษาความสมดุลระหว่างเป้าหมาย
5
ประการของการปฏิบัติงานคือ รักษาความปลอดภัย (safety)
รักษาคุณภาพของงาน(quality) รักษาเวลา(period) ประหยัดค่าใช้จ่าย(cost) และไม่ละเมิดกฎหมาย (law & regulation) ในการวางแผนนั้น ต้องเลือกใช้วิธีการที่สามารถนำเอากำลังคน เครื่องจักร วัสดุอุปกรณ์ และ เงินทุน มาใช้อย่างคุ้มค่าที่สุด และยังต้องระบุถึงวิธีที่จะนำไปใช้ในขั้นตอนการปฏิบัติงานอย่างชัดเจน |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
การสำรวจเบื้องต้น (preliminary survey) การสำรวจเบื้องต้นจะพิจารณาถึงสภาพของงาน เช่น สัญญา แผนงาน สภาพสิ่งแวดล้อม และอื่นๆ รายละเอียดของการสำรวจเบื้องต้นมี 3 ประการดังนี้ การสำรวจเอกสาร
ตารางแสดงตัวอย่างรายละเอียดการสำรวจสำหรับงานก่อสร้างและจุดที่ต้องการสำรวจ
การสำรวจที่เกี่ยวเนื่องกับมลภาวะ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
การคัดเลือกวิธีการปฏิบัติงาน ในการคัดเลือกวิธีการปฏิบัติงานหรือวิธีการก่อสร้างนั้น ควรจะต้องคำนึงถึงสิ่งต่างๆ ดังต่อไปนี้ 1. คำนึงถึงวิธีการที่สามารถเป็นไปได้ การศึกษาเกี่ยวกับขั้นตอนการปฏิบัติงานควรคำนึงถึงประเด็นต่างๆ ดังนี้ 1.
เริ่มด้วยการศึกษาเกี่ยวกับปัจจัยที่มีผลกระทบต่อระยะเวลา
และค่าใช้จ่ายในงานมากที่สุด |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
รายละเอียดแผนงาน
ควรจะมีการวางแผนในรายละเอียดอย่างมีระบบทั้งรายละเอียดและระยะเวลา
จากนั้นแผนขั้นต่อมาคือการวางแผนเกี่ยวกับเครื่องจักร วัตถุดิบ และแรงงาน
ส่วนค่าใช้จ่าย ขั้นตอนของการวางแผนงาน จำนวนวันการปฏิบัติงาน เป็นปัจจัยสำคัญในการเขียนแผนการปฏิบัติงาน และแผนการใช้เครื่องจักร ซึ่งสามารถหาได้จากสมการต่อไปนี้ [ปริมาณงานเฉลี่ยต่อวันทำงาน]
= [ปริมาณงานเฉลี่ยต่อชั่วโมง] x [จำนวนชั่วโมงการปฏิบัติงานเฉลี่ยต่อวัน]
≥
ปริมาณงาน / จำนวนวันทำงาน [ชั่วโมงการปฏิบัติงานเฉลี่ยต่อวัน] = [ชั่วโมงทำงาน] - [เวลาที่เสียไป] วันที่ไม่ทำงาน
เกิดจากปัจจัยหลายอย่าง เช่น ฝน หิมะ ทิศทางและความแรงของลม อุณหภูมิ
ความสูงของคลื่น เป็นต้น
เวลาที่เสียไป หมายถึง เวลาเสียไปกับการหยุดพัก การรอคำสั่ง
การซ่อมบำรุงอุปกรณ์ หรือการซ่อมแซมอุปกรณ์ที่เสีย
ในส่วนของการปฏิบัติงาน 2-3
กะ การปฏิบัติงานจะต้องทำงานตอนกลางคืน
ดังนั้นอัตราส่วนของการปฏิบัติงานจริงจะลดลง ตัวอย่างตารางแสดงปริมาณฝนตกและวันที่ไม่ทำงาน
note 1
ตัวเลขในตารางข้างบนคำนวณจากสภาพการถ่ายเทของน้ำ
ท่อระบายน้ำที่อยู่ในสภาพสมบูรณ์ แต่ค่าอาจมีการเปลี่ยนแปลง ขึ้นอยู่กับสภาพพื้นที่ และสภาพการปฏิบัติงาน ชั่วโมง การปฏิบัติงานเฉลี่ยต่อวัน แตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับลักษณะของงานที่ทำ ลักษณะพื้นที่ หรือ สภาพอากาศ และสภาพของเครื่องจักร ชั่วโมงการปฏิบัติงานเฉลี่ยต่อวัน สามารถแสดงได้จากสมการ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
การจัดการการวางแผน
การวางแผนการปฏิบัติงานจริงจะต้องดำเนินการตามรายละเอียดแผนงาน
ซึ่งรวมถึงวิธีที่จัดวาง สับเปลี่ยนเครื่องจักร วัสดุ แรงงาน คนงาน ความปลอดภัย
และ ทุน |
วิธีการคัดเลือกเครื่องจักร
เครื่องจักรทั่วไป
การคัดเลือกเครื่องจักรมาใช้ในงานนั้น
เป็นการยากที่จะเลือกเครื่องมือหนึ่งชนิดจากจำนวนหลายๆ ตัวเลือก
แต่ถ้านำเอาปัจจัยเรื่องสภาพการปฏิบัติงาน หรือ ค่าใช้จ่าย มาใช้แล้ว
เครื่องจักรพิเศษ
เมื่อต้องการใช้หรือต้องซื้อเครื่องจักรเครื่องมือพิเศษเฉพาะงาน
ต้องตอบคำถามเพิ่มเติม ดังนี้ |
หลักเกณฑ์พื้นฐานในการใช้เครื่องจักรร่วมกัน โดยทั่วไปแล้ว เครื่องจักรหลายชนิดจะใช้ทำงานร่วมกัน ดังนั้น เมื่อต้องการใช้เครื่องจักรมากกว่า 1 ประเภทร่วมกัน มีข้อควรพิจารณา ดังนี้ 1.
ลดระดับการใช้เครื่องจักรร่วมกันให้มากที่สุด
เมื่อใช้เครื่องจักรร่วมกัน ในทางสถิติจะถือว่าประสิทธิภาพของงานจะลดลงเพราะการทำงานจะต้องทำงานร่วมกัน
ถ้าจำเป็นต้องใช้เครื่องจักรร่วมกัน
จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีความสมดุลของงานที่ทำร่วมกัน ถ้าปริมาณไม่สมดุล
เครื่องจักรเครื่องหนึ่งจะถูกทิ้งไว้ไม่ใช้งาน การคัดเลือกเครื่องจักรเครื่องมือให้เหมาะสมกับประเภทของดิน
|
Productivity or Production per hour
การคำนวณหาปริมาณงานที่ทำได้ต่อชั่วโมงของเครื่องจักรเครื่องมือ
ปัญหาสำคัญประการหนึ่งในการวางแผนการใช้เครื่องจักรคือ
การคำนวณหาปริมาณงานที่ทำได้ของเครื่องจักร ขั้นตอนแรกของการคำนวณหาค่าปริมาณงานที่ทำได้ต่อชั่วโมง คือ คำนวณหาค่าตามทฤษฎีก่อน(theoretical value) แล้วนำไปปรับให้เข้ากับการทำงานจริง หรือ ให้สอดคล้องกับสถิติจริงที่เกิดขึ้นในอดีตจากสถานการณ์ที่ใกล้เคียงกัน จากสถิติเหล่านี้(โดยเฉพาะสถิติที่ได้จากผลงานที่มีประสิทธิภาพ) จะทำให้สามารถคำนวณหาค่าที่เหมาะสมในแต่ละงานได้ใกล้เคียงที่ สุด แต่อย่างไรก็ตามเราจะต้องปรับตัวเลขอีกครั้งเมื่อทำการก่อสร้างจริงในสนาม |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
วิธีการคำนวณหาปริมาณงานที่ทำได้ต่อชั่วโมงของเครื่องจักรเครื่องมือ Q = q x N x E = q x (60 / Cm) x E = m3/ h Q = ปริมาณงานที่ทำได้ต่อชั่วโมง
= ลบ.ม. / ชั่วโมง =
ประสิทธิภาพการทำงานขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เช่น
ภูมิประเทศ ความสามารถของผู้ปฏิบัติงาน
การเลือกใช้และจัดวางเครื่องจักรที่เหมาะสม และการซ่อมบำรุง ตารางประสิทธิภาพของงาน
ถ้า 1 ชั่วโมง หรือ 60 นาที เครื่องจักรทำงานจริงๆเพียง
50 นาที ดังนั้น ชั่วโมงการปฏิบัติงาน คือ
เวลาที่ผู้ปฏิบัติงานทำงานหน้าเครื่องจักร เวลาที่ใช้ในการซ่อมแซม คือ เวลาที่ใช้ซ่อมเครื่องจักร + เวลาที่รออะไหล่หรือการซ่อมบำรุง เวลาสแตนบาย คือ เวลาที่เครื่องจักรพร้อมที่จะปฏิบัติงาน
แต่ไม่ได้ทำงาน หรือ อาจเรียกว่าเป็นเวลาจอดคอย ก็ได้ |
การคำนวณหาปริมาณงานที่ต้องการทำต่อชั่วโมงตามสัญญาก่อสร้างและจากแบบก่อสร้าง
|
Tractor or Bulldozer
![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
ปริมาณงานที่ทำได้ต่อชั่วโมง Q = q x N x E = q x (60 / Cm) x E x e = m3/ h Q = ปริมาณงานที่ทำได้ต่อชั่วโมง
= ลบ.ม. / ชั่วโมง =
m3/ h สำหรับรถ Tractor ตีนตะขาบ q = ปริมาณงานที่ทำได้ต่อ 1 รอบการทำงาน = ลบ.ม. = q1x a = L x H2 x a q1= blade capacity ความจุของใบมีด
= m3
= โดยปกติใน Specification
ของรถแต่ละรุ่นจะบอกว่าจะมีค่าเท่าใด
Cm = เวลาที่ทำงานครบ 1 รอบ = นาที = (D/F) + (D/R) + Z D = ระยะทางในการดันดิน (เมตร,)
หรือ hauling distance โดยทั่วไป ความเร็วเดินหน้าควรอยู่ในช่วง 3 - 5
กม/ชม และ ความเร็วถอยหลังอยู่ในช่วง
5 - 7 กม. / ชม. z = เวลาที่ใช้ในการเปลี่ยนเกียร์ (นาที)
จะเห็นว่าการหาระยะเวลาทำงานครบ 1 รอบ ของรถแทรคเตอร์จะขึ้นอยู่กับ
ระยะทางที่ดันดิน , เวลาที่ใช้ในการเปลี่ยนเกียร์ และ
ความเร็วที่ใช้ในการเดินหน้าและถอยหลัง
Cm = 0.034 L + 0.25 = min
โดยที่ L เป็น hauling
distance หรือ ระยะทางในการดันดินไม่ควรเกิน 60 เมตร
E = ประสิทธิภาพการทำงาน
= เวลาที่เครื่องจักรทำงานจริงใน 1 ชั่วโมง
e = grade factor = ตัวคูณปรับค่าเนื่องจากความลาดชันของพื้นที่ที่ทำงาน
|
Dozer Shovels and Wheel Loaders (Loading)
ตักดินใส่รถคันอื่นโดยไม่ต้องวิ่งขนไปทิ้งอีกที่
![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
ปริมาณงานที่ทำได้ต่อชั่วโมง Q = q x N x E = q x (60 / Cm) x E = m3/ h = LCM / h Q = ปริมาณงานที่ทำได้ต่อชั่วโมง
= ลบ.ม. / ชั่วโมง =
m3/ h q1= heaped capacity
ความจุของบุ้งกี๋ที่พูนขึ้นมาเหนือขอบ = m3
= โดยปกติใน Specification
ของรถแต่ละรุ่นจะบอกว่าจะมีค่าเท่าใด
easy loading rather difficult
loading difficult loading Cm = เวลาที่ทำงานครบ 1 รอบ = นาที = จะขึ้นอยู่กับวิธีการตักดินใส่รถบรรทุกอื่น วิธีการตักวัสดุใส่รถมี 2 วิธี คือ v - shape loading คือ การตักวัสดุใส่ทางด้านข้างของรถบรรทุก และ cross loading เป็นการตักวัสดุใส่ทางด้านท้ายของรถบรรทุก ตารางแสดง average cycle time for wheel loader by v - shape loading หน่วยเป็น นาที
ตารางแสดง average cycle time for dozer shovel by v - shape loading หน่วยเป็น นาที
ตารางแสดง average cycle time for wheel loader by cross loading หน่วยเป็น นาที
ตารางแสดง average cycle time for dozer shovel by cross loading หน่วยเป็น นาที
E = ประสิทธิภาพการทำงาน = เวลาที่เครื่องจักรทำงานจริงใน 1 ชั่วโมง
|
Dozer Shovels and Wheel Loaders (Loading)
ตักดิน และ วิ่งขนเป็นระยะทางสั้นๆ ใส่รถคันอื่น
หรือ กองไว้ที่อื่น (Load
& Carry)
![]() |
![]() |
![]() |
|
ปริมาณงานที่ทำได้ต่อชั่วโมง Q = q x N x E = q x (60 / Cm) x E = m3/ h = LCM / h Q = ปริมาณงานที่ทำได้ต่อชั่วโมง
= ลบ.ม. / ชั่วโมง =
m3/ h q1= heaped capacity
ความจุของบุ้งกี๋ที่พูนขึ้นมาเหนือขอบ = m3
= โดยปกติใน Specification
ของรถแต่ละรุ่นจะบอกว่าจะมีค่าเท่าใด
Cm = เวลาที่ทำงานครบ 1 รอบ = นาที = (D / (1000 x Vf / 60 )) + (D / (1000 x Ve / 60 )) + Z D = hauling distance m =
ระยะทางในการวิ่งนำวัสดุไปทิ้งตรงจุดที่ต้องการ ตารางแสดง Travel Speed of dozer shovels & wheel loaders ไม่มีการกลับรถ แต่ ถอยหลังกลับมาตักวัสดุใหม่เพราะพื้นที่ในการกลับรถมีไม่มาก
ตารางแสดง Travel Speed of dozer shovels & wheel
loaders ในกรณีที่มีการกลับรถและวิ่งรถเปล่ากลับ ไม่ใช่ถอยหลังกลับ
E = ประสิทธิภาพการทำงาน = เวลาที่เครื่องจักรทำงานจริงใน 1 ชั่วโมง
|
Backhoe
![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
ปริมาณงานที่ทำได้ต่อชั่วโมง Q = q x N x E = q x (3600 / Cm) x E = m3/ h = LCM / h Q = ปริมาณงานที่ทำได้ต่อชั่วโมง
= ลบ.ม. / ชั่วโมง =
m3/ h q1= heaped capacity
ความจุของบุ้งกี๋ที่พูนขึ้นมาเหนือขอบ = m3
= โดยปกติใน Specification
ของรถแต่ละรุ่นจะบอกว่าจะมีค่าเท่าใด
ตารางแสดงค่า Bucket factor of Backhoe
Cm = เวลาที่ทำงานครบ 1 รอบ =
วินาที = excavating time + swing time (loaded) +
dumping time + swing time (empty)
ตารางแสดงจำนวน standard cycle time โดยคิดจาก cycle / hour หรือ จำนวนรอบการทำงานที่ทำได้ต่อชั่วโมงโดยประมาณตามความจุของบุ้งกี๋
ตารางแสดง conversion factor of backhoe
digging depth ความลึกที่ต้องการขุด เช่น BACKHOE รุ่น E240B , EL240B ตาม specification บางส่วนระบุไว้ดังนี้ maximum reach 18.44 m E = ประสิทธิภาพการทำงาน = เวลาที่เครื่องจักรทำงานจริงใน 1 ชั่วโมง
|
Motor Scraper
![]() |
![]() |
![]() |
ตัวอย่างความลึกของล้อที่จมลงไปบนถนนเมื่อรถวิ่ง |
ปริมาณงานที่ทำได้ต่อชั่วโมง Q = q x N x E = q x (60 / Cm) x E = m3/ h = LCM / h Q = ปริมาณงานที่ทำได้ต่อชั่วโมง
= ลบ.ม. / ชั่วโมง =
m3/ h q1= heaped capacity
ความจุของบุ้งกี๋ที่พูนขึ้นมาเหนือขอบ = m3
= โดยปกติใน Specification
ของรถแต่ละรุ่นจะบอกว่าจะมีค่าเท่าใด
ตารางแสดงค่า payload factor of motor scraper
Cm = เวลาที่ทำงานครบ 1 รอบ =
นาที loading time เป็นเวลาที่ใช้ในการตักดินเข้าใต้ท้องเพื่อบรรทุก ส่วนใหญ่จะขึ้นอยู่กับ
ตารางแสดง loading time - min
hauling time & return
time
เป็นระยะเวลาที่ใช้ในการนำดินไปทิ้งและวิ่งรถเปล่ากลับมาเอาดินใหม่
สามารถคำนวณหาได้จาก Travel performance curve
หรือ แต่ถ้าหากว่าเป็นรถ CATERPILLAR จะเรียก
Travel performance curve ว่า
performance chart หรือ
rimpull - speed - gradeability chart
วิธีการหาระยะเวลาที่รถวิ่งทั้งขาไปและขากลับ สามารถหาได้ตามขั้นตอน ดังนี้
ตารางแสดงค่า speed factor
แต่เพื่อให้การวางแผนการจัดการเครื่องจักรเครื่องมือเบื้องต้น
( Tentative Planning ) ง่ายขึ้นแนะนำให้ใช้ speed
factor เฉลี่ยในทุกๆช่วงของการวิ่ง
และในกรณีที่ถนนมีหลายความลาดชันเราสามารถวางแผนการใช้เครื่องจักรเครื่องมือโดยคำนึงถึงถนนในทุกๆช่วงความลาดชันก็ได้และจะให้ค่าความละเอียดถูกต้องที่สุด แต่อย่างไรก็ตามยังมีปัจจัยอีกหลายประการที่ทำให้รถวิ่งช้าลง เช่น เมื่อรถวิ่งในสภาพการณ์ต่อไปนี้
spreading and turning time
เป็นเวลาที่ใช้ในการทิ้งและเกลี่ยดินออกจากตัวรถ
โดยจะเริ่มนับเวลาตั้งแต่รถวิ่งมาถึงบริเวณทิ้งดิน - ทำการทิ้งดิน -
วิ่งกลับสู่ทางเดิมเพื่อไปทำการ
spot and delay time
เป็นเวลาที่รถใช้ในการกลับตัวบริเวณบ่อยืม เวลาเปลี่ยนเกียร์
การจอดคอยรถคันอื่น เวลาที่ใช้ในการเลือกว่าจะเข้าไปที่บ่อยืมใด เป็นต้น
E = ประสิทธิภาพการทำงาน = เวลาที่เครื่องจักรทำงานจริงใน 1 ชั่วโมง
|
Motor Grader
![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
Grading หมายถึง กระบวนการตกแต่งพื้นที่หรืองานก่อสร้างถนน คันดิน เพื่อให้ได้รูปร่างและระดับที่ต้องการ |
Finish Grading or Finishing หมายถึง
การตกแต่งความลาดเท หรือ รูปร่างของคูน้ำ หรือ
นำดินไปเกลี่ยให้ได้ระดับตามที่ระบุไว้ในแบบและรายการก่อสร้าง
จากนั้นจึงค่อยปลูกพืช ป้องกันการพังทลายของของดินต่อไป |
Balancing หมายถึง กระบวนการในการปาดดินที่สูงไปถมยังที่ต่ำในงานก่อสร้างถนนแต่ละชั้น |
Trimming หมายถึง กระบวนการทำให้งานก่อสร้างถนนแต่ละชั้นๆได้ความลาดเทตามต้องการ |
ปริมาณงานที่ทำได้ต่อชั่วโมง QA
= V x
(L e - L
o ) x
1000 x
E = m2/
h =
ตารางเมตร ต่อ ชั่วโมง
QA
= พื้นที่ที่ทำงานได้ต่อชั่วโมง
= ตารางเมตร / ชั่วโมง
V
= working speed ความเร็วที่รถวิ่งขณะทำงาน
= km / h
L
o =
width of overlap
ความกว้างของระยะทับซ้อนระหว่างการปาดดินแต่ละครั้งที่อยู่ติดกันโดยปกติประมาณ
0.30 เมตร
blade angle
เป็นมุมที่ใบมีดทำกับแนวศูนย์กลางของตัวรถโดยวัดออกจากทางด้านหน้า
E = ประสิทธิภาพการทำงาน
= เวลาที่เครื่องจักรทำงานจริงใน 1 ชั่วโมง
ตัวอย่างการคำนวณ วิธีการคำนวณหาเวลาที่ต้องใช้ในการปรับพื้นที่ที่กำหนด T = (N x D) / (V x E) = ชั่วโมง T =
เวลาที่ใช้ในการทำงานในบริเวณที่กำหนด |
Compactor
![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
มีวิธีการบอกปริมาณงานที่ทำได้ หรือ Productivity
ของรถบดถนน หรือ Compactor ได้ 2
แบบ คือ บอกในรูปของปริมาตรดินที่ถูกบดอัด หรือ
บอกในรูปของพื้นที่ที่ทำการบดอัด สูตรที่ใช้ในการคำนวณหา ปริมาตรดินที่ถูกบดอัดต่อชั่วโมง Q = (W x V x H x 1000 x E ) / N = m3/ h = ลบ.ม. ต่อ ชั่วโมง = LCM เพราะความหนาของการบดอัดคิดจาก loose soil Q =
ปริมาณงานที่ทำได้
= ลบ.ม. / ชั่วโมง V = working speed ความเร็วที่รถวิ่งขณะทำงาน = km / h จะขึ้นอยู่กับรถแต่ละชนิด ตามตารางข้างล่าง
W
= effective compaction width per pass
ความกว้างของการบดอัดแต่ละเที่ยว =
เมตร จะขึ้นอยู่กับเครื่องจักรเครื่องมือแต่ละชนิด
H =
compacted thickness for one layer ความหนาของการบดอัดแต่ละชั้น หรือ
เรียกอีกอย่างว่า lift thickness = เมตร N
=
number of passes จำนวนเที่ยวที่รถบดวิ่ง
E = ประสิทธิภาพการทำงาน
= เวลาที่เครื่องจักรทำงานจริงใน 1 ชั่วโมง
|
วิธีการบอกปริมาณงานที่ทำได้ หรือ Productivity
ของรถบดถนน หรือ Compactor
ในรูปของพื้นที่ที่ทำการบดอัด สูตรที่ใช้ในการคำนวณหา พื้นที่ที่ถูกบดอัดต่อชั่วโมง QA=
(W
x V
x
1000
x
E ) / N
= m2/
h =
ตารางเมตร ต่อ ชั่วโมง QA=
ปริมาณงานที่ทำได้
= ลบ.ม. / ชั่วโมง
V
= working speed ความเร็วที่รถวิ่งขณะทำงาน
= km / h
จะขึ้นอยู่กับรถแต่ละชนิด ตามตารางข้างล่าง
W
= effective compaction width per pass
ความกว้างของการบดอัดแต่ละเที่ยว =
เมตร จะขึ้นอยู่กับเครื่องจักรเครื่องมือแต่ละชนิด
N
=
number of passes
จำนวนเที่ยวที่รถบดวิ่ง
E = ประสิทธิภาพการทำงาน
= เวลาที่เครื่องจักรทำงานจริงใน 1 ชั่วโมง
ตัวอย่างการคำนวณ
QA= (W x V x 1000 x E ) / N = (0.8 X 1.5 X 1000 X 0.67 ) / 8 = 100.50 m2/ h = ตารางเมตร ต่อ ชั่วโมง |
Dump Trucks
![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
การคำนวณหาปริมาณงานที่รถบรรทุกทั้งหมดทำได้ต่อชั่วโมง หาได้จากความสัมพันธ์ P = C x ( 60 / Cmt ) x Et x M P = ปริมาณงานที่ทำได้ต่อชั่วโมง
= m3/
h =
ลบ.ม. ต่อ ชั่วโมง = LCM
Cmt =
cycle time of dump truck = ระยะเวลาทำงานครบ 1
รอบ ของรถบรรทุก = min n x Cms =
เวลาที่รถตักดินใช้ในการตักดินใส่รถจนเต็ม = loading time ถ้าบอกในรูปของน้ำหนักที่รถบรรทุกสามารถบรรทุกได้ ( D / V1)
= เวลาที่ใช้ในการขนดินไปทิ้งยังจุดที่ต้องการ D =
ระยะทางที่รถบรรทุกต้องวิ่งเพื่อนำดินไปทิ้ง =
เมตร
เวลาที่รถต้องใช้ในการบรรทุกดินไปทิ้งและวิ่งรถเปล่ากลับมาเพื่อบรรทุกดินใหม่อีกครั้งสามารถหาได้โดยการแบ่งถนนที่รถวิ่งออกเป็นช่วงๆตาม
Rolling resistance
ตารางแสดงค่า
Rolling resistance ตามสภาพถนนที่รถวิ่ง
อีกวิธีหนึ่งที่เราสามารถหาค่าแรงต้านการเคลื่อนที่ หรือ Rolling resistance ก็คือสังเกตระยะจมของล้อรถเมื่อรถวิ่งว่าจมลงไปในถนนที่วิ่งกี่ ซม. จากนั้นใช้ความสัมพันธ์ ดังนี้
Rolling Resistance Factor (RRF) = 20 kg/ton + ( 6
kg/ton/cm x ระยะที่ล้อจมลงไปในดิน
cm ) = (kg / ton) เช่น ถ้าล้อรถจมลงไปในถนน 5 ซม. ดังนั้น Rolling Resistance Factor (RRF) = 20 kg/ton + ( 6 kg/ton/cm x 5 cm ) = 50 (kg / ton) = 5 % equivalent grade
Grade resistance
สามารถหาได้จากความสัมพันธ์ระหว่าง (อัตราส่วนระห่างด้านตั้ง / ด้านราบ)
x 100 ซึ่งก็คือค่า
tangent ของมุมของความลาดของถนนที่รถวิ่งนั่นเอง วิธีการเลือกความเร็วของรถ หรือ travel speed max speed
และความเร็วที่เหมาะสมของรถเมื่อต้องวิ่งบนถนนที่มีแรงต้านการเคลื่อนที่แตกต่างกัน
สามารถหาได้จาก travel performance curve ของ
komatsu หรือ หา max speed โดยใช้ Travel
performance curve เมื่อ total resistance
มีค่าเป็น ( + ) แต่ถ้า total resistance
มีค่าเป็น ( - ) ให้ใช้ Brake performance curve
ขีดจำกัดความเร็วเมื่อลดต้องวิ่งลงเนิน เมื่อรถวิ่งลงเนิน และ ค่า Total resistance
มีค่าเป็น ( - )
ความเร็วที่รถจะต้องใช้เพื่อให้รถวิ่งลงเนินด้วยความปลอดภัยจะถูกจำกัดลง
โดยจะต้องใช้ Brake performance curve จาก Brake performance curve ที่
Total resistance (- 10 %)
และรถรวมน้ำหนักบรรทุกทั้งหมด 32 ตัน วิ่งลงเนิน จะเห็นว่าเส้นกร๊าฟจะตัดกันที่เกียร์
4
maximum speed
ที่ได้จากกราฟเป็นความเร็วตามทฤษฎีจะต้องมีตัวคูณปรับค่าความเร็วที่ได้
(Speed factor) ให้เป็นความเร็วใช้งาน หรือ ตาราง Speed factor
เมื่อรถวิ่งลงเนิน
เวลาที่ใช้ในการเปลี่ยนเกียร์เพื่อให้ได้ความเร็วที่ต้องการจะใช้เวลา
น้อย ดังนั้น ควรใช้
Speed factor ที่มีค่า มาก
ในทุกช่วงของการวิ่ง เมื่อรถวิ่งขึ้นเนิน หรือ วิ่งในแนวราบ
เวลาที่ใช้ในการเปลี่ยนเกียร์เพื่อให้ได้ความเร็วที่ต้องการจะใช้เวลา
มาก ดังนั้น ควรใช้
Speed factor ที่มีค่า น้อย
ในทุกช่วงของการวิ่ง แต่เพื่อให้การวางแผนการจัดการเครื่องจักรเครื่องมือเบื้องต้น
( Tentative Planning ) ง่ายขึ้น แนะนำให้ใช้ speed
factor เฉลี่ยในทุกๆช่วงของการวิ่ง แต่อย่างไรก็ตามยังมีปัจจัยอีกหลายประการที่ทำให้รถวิ่งช้าลง เช่น เมื่อรถวิ่งในสภาพการณ์ต่อไปนี้
ดังนั้น Average Speed = Maximum speed x speed factor = m / min Dumping time
เวลาที่ใช้ในการนำดินหรือทิ้งดินจากรถ + เวลาที่ต้องจอดคอยก่อนทิ้งดิน
Maneuvering time
เวลาที่รถบรรทุกใช้ในการเข้าที่เพื่อให้ loader
ตักดินใส่รถ รวมถึงเวลาที่ loader
เตรียมตัวเพื่อตักดินใส่รถ
|
การประมาณจำนวนรถบรรทุกที่ต้องการใช้ต่อ loader 1 unit M = Cycle time of dump truck เป็นนาที / Loading time เป็นนาที = [ Cmt / n x Cms ] x [ Es / Et ] n = จำนวนรอบการทำงานของ
loader ที่ต้องใช้ในการตักดินใส่รถบรรทุกจนเต็ม
= จำนวนครั้งที่ loader
ตักดินใส่รถจนเต็ม |
ความสัมพันธ์ระหว่างรถบรรทุกและรถตักดินเมื่อต้องทำงานร่วมกัน ต้องวางแผนให้ปริมาณงานที่ทำได้ต่อชั่วโมงของรถบรรทุก เท่ากับ หรือ มากกว่า ปริมาณงานที่ทำได้ของรถตักดิน ขอให้สังเกตสมการข้างล่าง
C =
ปริมาณงานที่รถบรรทุกทำได้ต่อ 1 รอบการทำงาน =
(n)(q1)(k)
= จะขึ้นอยู่กับปริมาณงานที่
loader ตักดินใส่รถด้วย ≤
ความจุของกระบะบรรทุก Cms =
cycle time of loader = ระยะเวลาทำงานครบ 1 รอบ
ของรถตักดิน = min ถ้าค่าทาง ด้านซ้ายมากกว่าทางด้านขวา
หมายความว่า จะมีรถบรรทุกเหลือในระบบการขน
จำเป็นต้องจอดคอยรถตักดินให้ตักดินใส่รถคันอื่นก่อน จำนวนรถบรรทุก และ รถตักดิน ที่ควรสำรองในระบบหรือใน cycle ของการทำงาน
|
ความสัมพันธ์ระหว่าง
LOADER & TRUCKS
จากหนังสือ
Construction Methods and Management by S.W.NUNNALLY
1. |
ปริมาณงานตามแบบที่จะต้องขน |
|
|
= |
553610.14 |
CCM |
|
คิดเป็นปริมาณงาน Bank Volume
โดยการหาร CCM ด้วย
Shrinkage factor |
= |
553610.14 x 1.11 |
= |
614507.26 |
BCM |
|
คิดเป็นปริมาณงาน Loose Volume
โดยการคูณ BCM ด้วย Swell
factor |
= |
553610.14 x 1.59 |
= |
880240.12 |
LCM |
|
|
|
|
|
|
|
2. |
เวลาตามสัญญาที่ต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จ |
|
|
= |
180 |
วัน |
|
วางแผนให้ทำงานเพียงกี่เปอร์เซ็นต์ของเวลาตามสัญญา |
|
|
= |
80 |
% |
|
เหลือเวลาทำงานจริง |
= |
180 x ( 80 / 100 ) |
= |
144 |
วัน |
|
จำนวนชั่วโมงการทำงานต่อวันที่ต้องการทำงาน |
|
|
= |
8 |
ชั่วโมง |
|
จำนวนชั่วโมงการทำงานทั้งหมด |
= |
144 x 8 |
= |
1152 |
ชั่วโมง |
|
ปริมาณงานที่ต้องทำให้แล้วเสร็จตามสัญญาเมื่อคิดต่อชั่วโมงทำงาน |
= |
553610.14 / 1152 |
= |
480.56 |
CCM / ชั่วโมง |
|
|
= |
614507.26 / 1152 |
= |
533.43 |
BCM / ชั่วโมง |
|
|
= |
880240.12 / 1152 |
= |
764.10 |
LCM / ชั่วโมง |
3. | ปริมาณงานที่ทำได้ต่อชั่วโมงของรถ backhoe หรือ Productivity at 100 % Efficiency จากตัวอย่างข้างต้น เพื่อไม่ต้องการให้ loader ต้องจอดคอยรถบรรทุก | |||||
Q = q x N x E = q x (3600 / Cm) x E = m3/ h = LCM / h | = | [0.57 x 1.1] x [3600/16.2] x 1.00 | = | 139.33 | LCM / ชั่วโมง | |
4. | ความจุของกระบะรถบรรทุกได้จาก spec หรือ วัดจากกระบะโดยตรง | = | = | 18 | LCM | |
= | ตัน | |||||
5. | load time ที่รถตักดินต้องใช้ตักดินใส่รถบรรทุกจนเต็ม | = | 18 / 139.33 | = | 0.129 | ชั่วโมง |
= ความจุของกระบะรถบรรทุก / Productivity of Loader at 100 % efficiency | ||||||
6. | cycle time ของรถบรรทุกไม่รวมเวลาที่ loader ตักดินใส่รถ = 0.00 +31.69+1.50+112.18+0.35 | = | 2.43 | ชั่วโมง | ||
7. | total cycle time ของรถบรรทุก | = | 0.129 + 2.43 | = | 2.559 | ชั่วโมง |
8. | จำนวนรถบรรทุกที่ต้องใช้กับ loader 1 unit | = | 2.559 / 0.129 | = | 19.84 | units |
= total cycle time ของรถบรรทุก / load time ที่รถตักดินต้องใช้ตักดินใส่รถบรรทุกจนเต็ม | = | 20 | units:1 loader | |||
9. | ปริมาณงานที่ loader ทำได้ต่อชั่วโมง หรืือ Productivity of Loader | = | 139.33 x 0.75 eff | = | 104.50 | LCM / ชั่วโมง |
= Productivity of Loader at 100 % efficiency x Working Eff. | ||||||
10. | จำนวน loader ที่ต้องใช้ทั้งหมด | = | 764.10 / 104.50 | = | 7.31 | units |
= ปริมาณงานทั้งหมดที่ต้องทำให้ได้ต่อชั่วโมง / ปริมาณงานที่ 1 loader ทำได้ต่อชั่วโมง | = | 8 | units | |||
11. |
จำนวนรถบรรทุกทั้งหมด = จำนวน loader ที่ใช้ทั้งหมด x จำนวนรถบรรทุกต่อ 1 loader |
= | 8 x 20 | = | 160 | units |
12. | สมมุติว่าใน 1 กลุ่มรถเสีย 2 คัน ปริมาณงานที่คาดว่าจะทำได้จะเหลือเพียง | = | [( 20 - 2 ) / 19.84] x 104.50 | = | 94.81 LCM / ชั่วโมง ต่อ 1 loader | |
= [จำนวนรถบรรทุกที่เหลืออยู่ / จำนวนรถบรรทุกต่อ 1 loader ที่ได้จากการคำนวณ] x ปริมาณงานที่ loader 1 unit ทำได้ | ||||||
ปรับปรุงแก้ไข พุธ, 19 มิถุนายน 2556 14:23:17