สำนักงานที่ปรึกษากฎหมายและวิศวกรรม  รังสรรค์ วงษ์บุญ
Office of Law and Engineering Consultants
The only thing necessary for the triumph of evil is for good men to do nothing.


Introduction to Unit Cost Estimating in Heavy Construction Equipment
[ 1 ]  DAVID J. PRATT ,  FUNDAMENTALS OF CONSTRUCTION ESTIMATING, DELMAR PUBLISHERS, USA. 1995.
 

การก่อสร้างที่ใช้มาตรฐานความปลอดภัยต่ำก่อให้เกิดค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นอย่างไรบ้าง

1.     ค่าซ่อมบำรุงเครื่องจักรเครื่องมือในระหว่างการทำงานจะสูงขึ้น

2.
     ค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นเนื่องจากงานช้าลง เช่น คนงานว่าง คนไม่มีงานทำ เพราะเครื่องจักรเครื่องมือเสีย แต่ค่าแรงยังคงต้องจ่ายอยู่

3.
     ค่าใช้จ่ายที่ต้องใช้ในการดำเนินคดีตามกฎหมาย กรณีเครื่องจักรเสียหายแล้วก่อให้เกิดมลพิษต่อบริเวณข้างเคียง เช่น ตอก
เข็มโดยใช้
Diesel Hammer ที่เครื่องยนต์เก่าจะก่อให้เกิดมลภาวะทางด้านไอเสีย (ก๊าซ CO) สูงมากต่อบริเวณข้างเคียง

4.     ค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นจากการขนส่งเครื่องจักรเครื่องมือฉุกเฉินเพื่อทดแทนที่เสีย

5.     ค่าเช่าเครื่องจักรเครื่องมือเพิ่มขึ้นเพื่อทดแทนของเก่า

6.     ค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรมบุคลากรเพื่อให้ใช้เครื่องมือชนิดใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย

7.     ค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากต้องการทำงานล่วงเวลาเพื่อเร่งงานให้ทันกับแผนงานที่วางเอาไว้ เนื่องจากต้องหยุดเพราะเครื่องจักรเครื่องมือเสีย

8.
     ผลงานที่ได้จะลดลงเพราะคนงานบาดเจ็บเนื่องจากใช้เครื่องจักรเครื่องมือไม่มีประสิทธิภาพ เมื่อผลงานลดลง ต้องใช้ระยะเวลาทำงานมากขึ้นเพื่อให้ได้ปริมาณงานเท่าเดิม ทำให้เสียค่าใช้จ่ายมากขึ้น

9.     ชื่อเสียงของบริษัทเสียหายที่ทำงานไปหยุดไป

10.
  ค่าใช้จ่ายในการตรวจสอบ ความสำเร็จของงานและหาแนวทางแก้ไขข้อผิดพลาดเหล่านั้นจะเพิ่มขึ้น

บริษัทก่อสร้างที่ใช้มาตรฐานความปลอดภัยสูงในการประมาณราคาผลต่อการยื่นซองประกวดราคาจะเป็นอย่างไร ?
1. ค่าใช้จ่ายในหมวดค่าก่อสร้างทั่วไปจะสูง            2. โอกาสชนะการประมูลงานจะลดลง

ค่าก่อสร้างที่ไม่ค่อยมีใครคิดถึงหรือมักจะถูกลืมเมื่อทำงานโดยใช้มาตรฐานงานก่อสร้างต่ำ (HIDDEN COST)
    
การทำงานก่อสร้างที่มีมาตรฐานความปลอดภัยต่ำจะทำให้มี COST หรือค่าใช้จ่ายประเภทหนึ่งซึ่งเรียกว่าค่าใช้จ่ายที่ซ่อนเร้นหรือค่าใช้จ่ายที่คาดไม่ถึงเกิดขึ้นเพิ่มขึ้นมาด้วยในระหว่างการก่อสร้าง  ซึ่งค่าใช้จ่ายในส่วนนี้จะมาจาก

     1.   ค่าซ่อมแซมและบำรุงรักษาเครื่องจักรเครื่องมือเก่าที่เสียในระหว่างการทำงาน

     2.   ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับความล่าช้าของงานหรืองานถูกขัดจังหวะ เช่น เครื่องจักรเครื่องมือเสียแต่ค่าแรงยังคงต้องจ่ายอยู่

     3.   ค่าใช้จ่ายอื่นๆที่ถูกต้องตามกฎหมาย เช่น ค่าทนายความกรณีเกิดอุบัติเหตุคนตาย เป็นต้น

     4.   ค่าใช้จ่ายฉุกเฉินเกี่ยวกับการจัดส่งของและเครื่องจักรเครื่องมือสำรองในกรณีเร่งด่วน

     5.   ค่าเช่าเครื่องจักรเครื่องมือทดแทนของเก่าที่เสียในระหว่างการก่อสร้าง

     6.   ค่าใช้จ่ายในการตรวจสอบงานที่เพิ่มขึ้นและการบริหารจัดการ

     7.   ค่าใช้จ่ายในการจ้างและฝึกอบรมบุคคลากรทดแทนผู้ประสบอุบัติเหตุในงานก่อสร้าง

     8.   ค่าล่วงเวลาหรือค่าใช้จ่ายในการเร่งงานให้ทัน

     9.   ค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากผลงานที่ลดลงของการกลับมาทำงานใหม่ของคนงานที่บาดเจ็บทำให้ใช้เวลาทำงานมากขึ้น

    10.  ธุรกิจก่อสร้างประสบการขาดทุนเนื่องจากความเสียหายที่เกิดขึ้นกับชื่อเสียงของบริษัทหรือผู้บริหารของบริษัททำให้สถาบันการ
เงินขาดความมั่นใจที่จะปล่อยสินเชื่อต่อไป
ให้ยกตัวอย่างชนิดของงานที่มีแต่ค่าแรง และ ค่าเครื่องจักรเครื่องมือ ไม่มีค่าวัสดุ
การแต่งไหล่ถนน โดยใช้ MOTOR GRADER

ชนิดของเครื่องจักรเครื่องมือในงานก่อสร้างและวิธีการคิดราคา
ในงานก่อสร้างทุกชนิดจะมีเครื่องจักรเครื่องมือเครื่องใช้หลายชนิด หลายประเภทตามแต่ชนิด และ ขนาดของโครงการก่อสร้างแต่ส่วนมากแล้วพอจะแบ่งออกได้ ดังนี้

1.  HAND TOOL OR SMALL TOOLS  เป็นเครื่องมือขนาดเล็ก เช่น ค้อน ไขควง ขวาน จอบ เสียม พลั่ว ฯลฯ ในการคิดราคา
จะคิดเป็น
% ของค่าแรง แต่มีโครงการก่อสร้างเป็นจำนวนมากไม่นำค่าใช้จ่ายในส่วนนี้มาคิดด้วย

2.  SITE EQUIPMENT   เป็นเครื่องมือที่ต้องใช้ร่วมกันในการทำงานหลาย ๆ ชนิด เครื่องจักรเครื่องมือในกลุ่มนี้จะต้องเก็บเอา
ไว้ที่ 
SITE ตลอดระยะเวลาการทำงานหรือจนกว่างานจะเสร็จ เช่น CRANE  เป็นต้น และมักจะเช่ามากกว่าจะซื้อมาเป็นเจ้าของเองนอก
จากจะมีงานต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน  การซื้อจะถูกกว่าการเช่า        และการคิดราคามักจะคิดเป็นชั่วโมงการทำงานรวมทั้งค่าล่วงเวลา
ด้วย  ข้อสำคัญก็คือจะต้องตกลงกันก่อนว่าค่าน้ำมันรถ ค่าซ่อมบำรุง ค่าใช้จ่ายในการหาเครื่องจักรตัวใหม่มาทดแทนตัวที่เสีย

3.  SPECIFIC EQUIPMENT     เป็นเครื่องจักรเครื่องมือที่ใช้เฉพาะงานและใช้เป็นบางเวลาที่ต้องการเท่านั้น เมื่อเสร็จงานนั้นๆ
แล้วจะต้องนำออกไปจาก
SITE เช่น HEAVY CONSTRUCTION EQUIPMENTS ได้แก่ TRACTOR , BULLDOZER, GRADER เป็นต้น
 และเช่นเดียวกันกับ
SITE EQUIPMENT  คือ มักจะเช่ามากกว่าซื้อนอกจากจะมีงานก่อสร้างต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน

หลักการและวิธีการคิดราคา SPECIFIC EQUIPMENT    นิยมบอกเป็นปริมาณงานที่ทำได้ต่อหนึ่งหน่วยเวลา หน่วยเวลาที่ใช้
แล้วแต่ข้อตกลง อาจจะเป็น ชั่วโมงหรือสัปดาห์หรือ เดือน ก็ได้ เช่น ค่าเช่ารถแทรกเตอร์ ถ้าคิดเป็นปริมาณงานที่ทำได้ต่อชั่วโมง จะมี
หน่วยเป็นบาท ต่อ ชั่วโมง ต่อ ดัน หรือถ้าคิดเป็นสัปดาห์จะมีหน่วยเป็นบาท ต่อ สัปดาห์ ต่อ คัน  หรือ  ถ้าคิดเป็นเดือน จะมีหน่วยเป็น
บาท ต่อเดือน ต่อ คัน

การเช่า หรือ การซื้อเครื่องจักร อย่างใดจะให้ผลดีมากกว่ากัน
การที่จะซื้อหรือเช่าเครื่องจักรจะขึ้นอยู่กับระยะเวลาที่ได้เข้ามาสู่ธุรกิจก่อสร้าง คือถ้าเพิ่งจะเข้ามาสู่ธุรกิจก่อสร้างใหม่ ๆ การเช่าจะให้
ประโยชน์มากกว่า  เพราะมีเงินทุนน้อย  มี
CREDIT หรือ ความน่าเชื่อถือน้อย   มี CONNECTION หรือสายใยความสัมพันธ์หรือการ
ติดต่อกับสถาบันทางการเงินน้อย

แต่ถ้าเข้ามาสู่ธุรกิจก่อสร้างเป็นระยะเวลานานพอสมควร จะมีทางเลือก 2 ทาง คือ จะเช่าหรือจะซื้อก็ได้ เพราะมีเงินทุนมากพอ  มี
CREDITที่เชื่อถือได้  มี CONNECTION หรือสายใยความสัมพันธ์หรือการติดต่อกับ BANKER หรือสถาบันการเงินมากพอสมควร  ถ้า
ต้องใช้เป็นการชั่วคราว ควรเช่าดีกว่า เช่น
MOBILE CRANE ถ้าต้องใช้บ่อย ๆ ควรซื้อดีกว่า

มีความจำเป็นประการใดหรือไม่ที่จะต้องซื้อเครื่องจักรเครื่องมือเสมอไป
ปัจจุบันไม่จำเป็นต้องซื้อเครื่องจักรเครื่องมือเสมอไป เพราะปัจจุบันมีบริษัทที่ทำธุรกิจให้เช่าเครื่องจักรเครื่องมือมากมายโดยมีครบทุก
ชนิดทุกประเภท และให้บริการพร้อมคนขับ และเนื่องจากเป็นการแข่งขันโดยเสรีจึงไม่มีใครกล้าตั้งราคาค่าเข่าสูงเพราะอาจจะไม่ได้งาน
เลยก็ได้

แต่อย่างไรก็ตามผู้รับเหมาจะต้องตัดสินใจเอาเองว่าจะซื้อหรือจะเช่าเครื่องจักรเครื่องมือดี หรือ ระหว่างการเช่า กับ การซื้อ วิธีไหนจะให้
ผลประโยชน์ตอบแทนมากกว่ากัน

ข้อดีและข้อเสียของการเช่าหรือซื้อเครื่องจักรเครื่องมือใหม่
การซื้อหรือการเช่าเครื่องจักรเครื่องมือหนัก มีข้อควรพิจารณา ดังนี้

     ข้อดีของการเช่า
    ไม่ต้องมีโรงเก็บที่ใหญ่โต โดยที่อาจจะใช้เครื่องจักรที่ใช้บ่อย ๆ เพียง 2 – 3 ชนิดเท่านั้น ถ้าไม่ต้องมีโรงเก็บก็จะลดค่าประกันความ
เสียหายลงไปด้วย สามารถเลือกเครื่องจักรเครื่องมือที่ทันสมัยและมีประสทิธิภาพได้ตามความพอใจ ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องมีโรงเก็บ
อะไหล่หรือสิ่งอำนวยความสะดวก ลดการจ้างเจ้าหน้าที่มาทำการบำรุงรักษาหรือมาควบคุมการใช้งานเป็นพิเศษทำบัญชีควบคุมค่าใช้
จ่ายได้ง่าย

     ข้อเสียของการเช่า คือ
     ถ้าหากผู้รับเหมาต้องใช้เครื่องจักรเครื่องมือเป็นระยะเวลานาน ค่าเช่าที่จะต้องจ่ายออกไปจะแพงกว่าการซื้อเป็นเจ้าของเสียเอง

     การมีเครื่องจักรเครื่องมือเป็นของตัวเอง จะทำให้ได้รับความน่าเชื่อถือและความไว้วางใจเพิ่มขึ้นเพราะจำทำให้ดูว่ามีความมั่นคง
มากกว่าบริษัทที่ไม่มีเครื่องจักรเครื่องมือเป็นของตัวเอง

     เจ้าของงานบางคนต้องการให้ผู้รับเหมาที่จะมารับงานไปทำมีเครื่องจักรเครื่องมือเป็นของตัวเอง ทั้งนี้เพื่อเพิ่มความมั่นใจว่าจะทำงาน
ได้เสร็จโดยใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ได้แม้ว่าจะใช้เวลานานก็ตาม

ค่าใช้จ่ายในการเป็นเจ้าของเครื่องจักรเครื่องมือในงานก่อสร้าง
ค่าใช้จ่ายเหล่านี้ประกอบด้วย
  • ค่าเสื่อมราคา (DEPRECIATION)
  • ค่าดอกเบี้ย หรือค่าเสียโอกาสของเงิน (FINANCING EXPENSE)
  • ค่าน้ำมันหล่อลื่นและค่าน้ำมันเชื้อเพลิง (FUEL AND LUBRICATION COST)
  • ค่าซ่อมแซมและค่าบำรุงรักษา (MAINTENANCE AND REPAIR COST)
  • ค่าภาษี (TAXES)  ค่าประกันภัย (STORAGE COST)
  • ค่าอื่นๆที่ไม่สามารถลงบัญชีได้

วิธีการคิดค่าเสื่อมราคา
ค่าเสื่อมราคา       หมายถึง มูลค่าที่ลดลงของทรัพย์สินใดๆ เมื่อระยะเวลาผ่านไปซึ่งโดยมากจะคิดต่อปี
หมายความว่า ราคาของเครื่องจักรทุกชนิดจะลดน้อยลงไปตามเวลาที่ใช้งานหรือแม้ว่าจะจอดทิ้งไว้เฉยๆ ก็ตามและเมื่อครบอายุใช้
งานราคาของเครื่องจักรจะมีค่าใกล้เคียงศูนย์ซึ่งเรียกว่า
SALVAGE VALUE หรือ ราคาเมื่อหมดสภาพการใช้งานแล้วแต่โดยข้อเท็จจริง
แล้วจะยังคงใช้งานได้อยู่แต่จะเสียค่าซ่อมแซมและบำรุงรักษามากไม่คุ้มค่ากับงานที่ทำได้

อายุการใช้งาน (SERVICE LIFE) หมายถึง ระยะเวลาการใช้งานของเครื่องจักรที่จะให้ผลงานออกมามากกว่าค่าซ่อมแซมและบำรุงรักษา

ความสัมพันธ์ของค่าเสื่อมราคากับค่าต่างๆ ที่เกี่ยวข้องแสดงได้ ดังนี้

                     ค่าเสื่อมราคา = ราคาทรัพย์สิน (CAPITAL COST) – ราคาเมื่อหมดสภาพ (SALVAGE VALUE)

วิธีการที่ใช้คิดค่าเสื่อมราคา
มีอยู่หลายวิธีแล้วแต่ผู้วางแผนหรือผู้มีอำนาจตัดสินใจว่าจะเลือกใช้แบบใด แต่ที่ใช้กันส่วนมาก ได้แก่

  • วิธี STRAIGHT LINE
  •  วิธี PRODUCTION OR USE
  • วิธี DECLINING BALANCE
  • วิธี SUM OF THE YEARS’ DIGIT

 วิธีการคิดค่าเสื่อมราคาแบบ STRAIGHT LINE  นิยมใช้กันมาก วิธีนี้เหมาะสำหรับใช้คิดค่าเสื่อมราคาของเครื่องจักรที่มีการใช้งานอยู่
ตลอดเวลา เป็นวิธีที่นิยมใช้กันมากที่สุด เพราะง่ายในการคำนวณ โดยยึดหลักการว่า มูลค่าจะลดลงเท่ากันทุกๆ ปี ซึ่งการคิดแบบนี้ทำให้
การวางแผนการเงินเป็นไปได้โดยง่าย แต่ผิดข้อเท็จจริง เพราะโดยข้อเท็จจริงแล้วค่าเสื่อมราคาจะลดลงเร็วในปีแรกและจะคงที่ในปีท้ายๆ
การคิดค่าเสื่อมราคาวิธีนี้ไม่ได้นำอัตราการใช้เครื่องจักรเครื่องมือมากหรือน้อยมาพิจารณาด้วย

           วิธีการคิดค่าเสื่อมราคาแบบ STRAIGHT LINE

             ค่าเสื่อมราคาต่อปี = (ราคาซื้อครั้งแรก – ราคาเมื่อหมดสภาพ) / อายุการใช้งาน

             ตัวอย่าง  เครื่องจักรตัวหนึ่งราคาซื้อ 150,000 อายุการใช้งาน 5 ปี หลังจากนั้นแล้วขายไปได้เงิน 50,000 อยากทราบว่าค่า
เสื่อมราคาต่อปีเป็นเท่าใด
 

            วิธีทำ   ค่าเสื่อมราคาต่อปี      =      (ราคาซื้อครั้งแรก – ราคาเมื่อหมดสภาพ) / อายุการใช้งาน

                                                      =      (150,000 – 50,000) / 5    =      20,000  

ตารางแสดงค่าเสื่อมราคาแบบ STRAIGHT LINE

สิ้นปีที่

ค่าเสื่อมราคาต่อปี

ราคาที่เหลืออยู่เมื่อหักค่าเสื่อมราคาออกไปแล้ว

0

1

2

3

4

5

0

20,000

20,000

20,000

20,000

20,000

150,000

130,000

110,000

90,000

70,000

50,000

 

ข้อควรพิจารณาเกี่ยวกับค่าเสื่อมราคาของยางรถยนต์ 

            1. อายุการใช้งานของยางรถยนต์สั้นกว่าอายุการใช้งานของตัวเครื่องจักรมาก
            2. อัตราค่าเสื่อมราคาของยางจะแตกต่างจากอัตราค่าเสื่อมราคาของตัวรถ
            3. เปอร์เซ็นต์ค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับค่าซ่อมแซมและบำรุงรักษาของยางรถยนต์จะแตกต่างกับตัวรถมาก,
            4. ในการคำนวณค่าเสื่อมราคาของเครื่องจักรเครื่องมือจะต้องแยกออกจากการคิดค่าเสื่อมราคาของยาง

วิธีการคิดค่าซ่อมบำรุง
เครื่องจักรเครื่องมือทุกชนิดจะต้องมีการซ่อมบำรุงอย่างสม่ำเสมอเพื่อให้อุปกรณ์เครื่องจักรเครื่องมือได้ใช้ประโยชน์ได้นานที่สุด    
และหารายได้หรือทำประโยชน์ได้มากที่สุดตลอดอายุการใช้งาน  ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีการวางแผนการซ่อมบำรุงว่าจะต้องซ่อมแซมอะไรบ้าง เพื่อที่จะตั้งงบประมาณได้ถูกต้อง    

วิธีที่จะให้ได้ตัวเลขในการซ่อมบำรุงที่แน่นอนจะต้องหามาจากงานสนามโดยดูจากของจริงที่ได้มีการบันทึกเอาไว้ แต่ในทางปฏิบัติ
แล้วทำไม่ได้ครบถ้วนด้วยเหตุผลหลายประการจึงนิยมคิดเป็น
% แทนโดยอาศัยข้อมูลจาก RENTAL RATE ON CONSTRUCTION
 EQUIPMENT BY THE CANADIAN CONSTRUCTION ASSOCIATION ได้แนะนำไว้ ดังนี้

PORTABLE COMPRESSORS          83

%  

OF ANNUAL  DEPRECIATION  หรือ ค่าเสื่อมราคาต่อปี

SELE-PROPELLED ROLLER           

120

OF ANNUAL  DEPRECIATION  หรือ ค่าเสื่อมราคาต่อปี
HYDRAULIC LIFTING CRANE            120

%  

OF ANNUAL  DEPRECIATION  หรือ ค่าเสื่อมราคาต่อปี
POWER SHOVELS             120

%  

OF ANNUAL  DEPRECIATION  หรือ ค่าเสื่อมราคาต่อปี
HYDRAULIC BACKHOE 100

%  

OF ANNUAL  DEPRECIATION  หรือ ค่าเสื่อมราคาต่อปี
TELESOOPIC BOOM EXCAVATOR 100

%  

OF ANNUAL  DEPRECIATION  หรือ ค่าเสื่อมราคาต่อปี
TRACK-FRONT ENDLOADER 110

%  

OF ANNUAL  DEPRECIATION  หรือ ค่าเสื่อมราคาต่อปี
RUBBER-TIRE-FRONT END LOADER 110

%  

OF ANNUAL  DEPRECIATION  หรือ ค่าเสื่อมราคาต่อปี
MOTOR GRADER 125 % OF ANNUAL  DEPRECIATION  หรือ ค่าเสื่อมราคาต่อปี
SELF-LOADING ELEVATING SCRAPER 110 % OF ANNUAL  DEPRECIATION  หรือ ค่าเสื่อมราคาต่อปี
TRACTOR-DOZER 110 % OF ANNUAL  DEPRECIATION  หรือ ค่าเสื่อมราคาต่อปี
DUMP TRUCK 130 % OF ANNUAL  DEPRECIATION  หรือ ค่าเสื่อมราคาต่อปี

การคิดค่าน้ำมันเชื้อเพลิง
ถ้าต้องการตัวเลขที่ถูกแน่นอนต้องตรวจสอบในสนามหรือในภาวะการณ์ที่ทำงานจริง แต่ในทางปฏิบัติแล้วทำได้ยาก ดังนั้น จึงต้องใช้การประมาณเอาจากประสบการณ์

จากหนังสือ ESTIMATING CONSTRUCTION COST BY PEURIFOY ได้แนะนำการคิดตัวเลขค่าใช้จ่ายโดยคิดจากรายละเอียดตามที่
ระบุไว้ใน
SPECIFICATION หรือสมุดคู่มือประจำรถ โดยประมาณไว้ ดังนี้

       กรณีภาวการณ์ทำงานปกติทั่วไปที่ความดัน 29.9” ของปรอท และที่อุณหภูมิ 15° C

       เครื่องยนต์เบนซินจะใช้น้ำมัน        =      0.06 แกลลอน / 1 แรงม้า / ชั่วโมง   =      0.2271 ลิตร / 1 แรงม้า / ชั่วโมง

       เครื่องยนต์ดีเซลจะใช้น้ำมัน          =      0.04 แกลลอน / 1 แรงม้า /ชั่วโมง    =      0.1514 ลิตร / 1 แรงม้า / ชั่วโมง

การคิดค่าน้ำมันหล่อลื่น
จำนวนน้ำมันหล่อลื่นนที่ใช้จะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับ

     1. ขนาดของเครื่องยนต์ เครื่องยนต์ขนาดใหญ่จะใช้น้ำมันเครื่องมากกว่า

     2. ขนาดความจุของ CRANKCASE ของน้ำมันเครื่อง ถ้าใหญ่ก็จะใช้น้ำมันเครื่องมาก

     3. ภาวะแวดล้อมในการใช้งาน         การทำงานในบริเวณที่มีฝุ่นมากๆ ต้องเปลี่ยนน้ำมันเครื่องบ่อย

     4. ความถี่ในการเปลี่ยนน้ำมันเครื่อง การเปลี่ยนน้ำมันเครื่องบ่อยจะเสียค่าใช้จ่ายมาก

     5. การบำรุงรักษาเครื่องยนต์ การบำรุงรักษาเครื่องยนต์อย่างสม่ำเสมอหรือเครื่องไม่หลวมเครื่องจะใช้น้ำมันเครื่องน้อย

ในทางปฏิบัติทางด้าน COST PLANNING จะคิดค่าน้ำมันหล่อลื่นหรือน้ำมันเครื่องประมาณ 10% ของค่าน้ำมันเชื้อเพลิง

ทำไมการกำหนดอัตราค่าจ้างแรงงานและอุปกรณ์เครื่องจักรเครื่องมือโดยละเอียด จึงมีความสำคัญสำหรับโครงการบางโครงการเป็นอย่างยิ่ง
เพราะว่าการหาอัตราค่าจ้างแรงงานและอัตราค่าเช่าอุปกรณ์เครื่องจักรเครื่องมือหาได้ยากและตัวเลขที่ได้ก็แตกต่างกันแต่ละบริษัท ทำ
ให้ราคาประมูลงานแตกต่างกันด้วยโดยเฉพาะในหมวดเครื่องจักรเครื่องมือหรืออุปกรณ์ ส่วนค่าแรงงานจะไม่แตกต่างกันมากนักยกเว้น
แต่บางบริษัทที่จ้างค่าแรงงานสูง เพื่อจูงใจไม่ให้คนงานย้ายบริษัท
ในการเช่าเครื่องจักรเครื่องมือหรืออุปกรณ์ในการก่อสร้างมีข้อที่ควรพิจารณาอะไรบ้าง
อายุและสภาพของเครื่องจักรเครื่องมือที่เช่า
ค่าเช่ารวมค่าคนขับด้วยหรือไม่
ถ้าต้องการเช่าในระยะยาว ค่าเช่ารวมค่าบำรุงรักษาด้วยหรือไม่
ค่าเช่ารวมค่าน้ำมันเชื้อเพลิงด้วยหรือไม่
มีค่าธรรมเนียมการเช่าต่ำสุดหรือการเช่าในช่วงระยะเวลาอย่างน้อยสุดหรือไม่
ต้องเสียค่าขนส่งหรือไม่
เครื่องจักรเครื่องมือที่เช่าต้องการอุปกรณ์เพิ่มเติมพิเศษหรือไม่ ราคาเท่าใด
ราคาที่เช่ารวมค่าภาษีและค่าสิทธิบัตรด้วยหรือไม่
ราคาที่เช่ารวมค่าประกันภัยด้วยหรือไม่
ถ้าผู้รับเหมาจะใช้อุปกรณ์เหล่านี้ได้จะต้องมีคุณสมบัติพิเศษตามกฎหมายใดๆหรือไม่ หรือจะต้องเข้ารับการฝึกอบรมในหลักสูตรใดๆก่อนหรือไม่จึงจะถูกกฎหมาย

      FACTOR ที่มีผลกระทบต่อความสามารถในการทำงานของคนงานและอุปกรณ์ที่ใช้ในการก่อสร้างซึ่งทำให้การประมาณราคาผิดไปจากเดิม
      สภาพของดินฟ้าอากาศที่บริเวณก่อสร้าง ฝนตก อากาศร้อน จะทำงานได้ช้า

      เส้นทางไปยังบริเวณก่อสร้าง
             
ถ้าถนนไม่ดีรับน้ำหนักได้น้อยหรือแคบ ต้องใช้รถขนาดเล็กบรรทุกได้น้อยต้องเสียเวลาในการบรรทุกมากทำให้ค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น
              ถ้าถนนภายในบริเวณก่อสร้างไม่ดี ต้องเสียเวลาและแรงงานในการลำเลียงวัสดุเข้าที่เก็บหรือบริเวณที่จะทำงานอีกครั้งหนึ่ง ทำให้เสียเวลาและแรงงานเพิ่มขึ้น

      ที่ว่างบริเวณก่อสร้างที่จะใช้เก็บของ ถ้ามีพื้นที่แคบการเก็บวัสดุสำรองจะเก็บได้น้อย เมื่อของหมดต้องเสียเวลาสั่งของ อาจจะต้องคอยหลายวัน     
 
      ลักษณะ ขนาดและความซับซ้อนของโครงการ งานที่ยากจะทำงานได้ช้า
งานที่ทำยากเมื่อทำบ่อยๆจะชำนาญ แต่ไม่มีงานยากที่
ต้องทำบ่อยในงานก่อสร้างเพราะงานยากๆมักจะมีน้อยในโครงการหนึ่ง และเมื่อเริ่มจะชำนาญงานก็จะหมดต้องไปทำงานใหม่หรือในโครงการใหม่ซึ่งก็จะลืม

      ระยะทางจากแหล่งวัสดุอุปกรณ์เครื่องจักรเครื่องมือ ยิ่งไกลยิ่งเสียเวลามาก เสียค่าใช้จ่ายมากเมื่อเทียบระหว่างผลงานที่ทำได้ต่อระยะเวลาที่เสียไป

      ระดับอัตราค่าแรงและราคาวัสดุบริเวณโดยรอบสถานที่ก่อสร้าง  ถ้าค่าแรงต่ำมาก คนงานจะหนีไปอยู่ที่อื่น หรือ ถ้ายังไม่มีโอกาส
ไปก็จะทำงานไม่เต็มความสามารถทำให้ได้ผลงานน้อยลงเมื่อเทียบกับเวลาที่เสียไป

คุณภาพของผู้ควบคุมงาน ถ้ามีความรู้ดีและตั้งใจทำงาน ผลงานก็จะออกมาดี

คุณภาพของแรงงาน ถ้าเป็นแรงงานมีฝีมือและได้อัตราค่าตอบแทนสมกับความรู้ความสามารถก็อาจจะตั้งใจทำงานทำให้ได้ผลงานออกมาดี

ขวัญและกำลังใจรวมทั้งแรงจูงใจของคนงาน ถ้ามีขวัญ กำลังใจ หรือมีแรงจูงใจที่ดี ก็อาจจะเต็มใจทำงานเพื่อให้ผลงานออกมาดี
แต่ต้องขึ้นอยู่กบผู้ควบคุมงานด้วยว่าสนใจงานมากน้อยเท่าใด

      ถ้าเครื่องจักรเครื่องมือดี มีประสิทธิภาพดี ไม่ต้องเสียหรือซ่อมบ่อย ผลงานก็จะออกมาดี

      ประสบการณ์และการผ่านงานประเภทเดียวกัน

      ถ้ามีประสบการณ์หรือผ่านงานในลักษณะเดียวกันยิ่งมากเท่าใด ก็ยิ่งเข้าใจระบบการทำงานและรู้ว่าส่วนใดของโครงการต้องดูแลเป็นพิเศษ และรู้ด้วยว่าควรดูแลอย่างไร

ทำไมกระบวนการในการคิดราคาค่าวัสดุจึง ง่ายกว่า การคิดราคาค่าแรงและเครื่องจักรเครื่องมือ
เพราะราคาวัสดุค่อนข้างแน่นอนจะแตกต่างกันไม่มากในแต่ละร้านซึ่งตรวจสอบได้ง่าย  แต่การคิดค่าแรงงานและเครื่องจักรเครื่องมือ จะ
คิดตามประสิทธิภาพการทำงานได้ใน
1 วัน ซึ่งในทางปฏิบัติตรวจสอบได้ยากเพราะมีตัวแปรมากมาย
การที่เจ้าของโครงการเป็นผู้จัดหาวัสดุอุปกรณ์เครื่องจักรเครื่องมือเอง จะสร้างปัญหาให้กับผู้ประมาณราคาได้อย่างไรบ้าง
อาจจะได้คุณภาพต่ำกว่ามาตรฐานตามที่ได้ระบุไว้ใน SPECIFICATION และจะหาผู้รับผิดชอบไม่ได้

ตัวอย่างการคำนวณค่าใช้จ่ายต่อชั่วโมง
ตัวเลขที่ปรากฏเป็นตัวเลขสมมุติเพื่อแสดงขั้นตอนและวิธีการคำนวณเท่านั้น

ให้คำนวณค่าใช้จ่ายต่อชั่วโมงของรถ DUMP TRUCK โดยมีข้อมูลพื้นฐาน ดังนี้
  • เครื่องยนต์เบนซินขนาด 120 hp ( แรงม้า ) โดยดูจาก spec
  • ราคาซื้อรวมยาง 75,000 จากร้านค้า
  • ราคาเมื่อหมดสภาพ 7500 จากการวางแผน
  • ชั่วโมงการทำงานต่อปี 1800 จาก spec หรือ จากการวางแผน
  • ค่าบริหารและการจัดการเครื่องจักรเครื่องมือ 11 % ของเงินลงทุนเฉลี่ยต่อปี
    จากการวางแผน
  • อายุการใช้งานของยาง 4000 ชั่วโมง จาก spec
  • ค่าบริหารและการจัดการเครื่องจักรเครื่องมือ หรือ ค่าดอกเบี้ย ภาษี ประกันภัย ค่าเก็บรักษา 11 % ของเงินลงทุนเฉลี่ยต่อปี จากการวางแผน
  • ประสิทธิภาพการทำงาน 40 จากการวางแผน
  • ค่าขนส่งรถไปยังสถานที่ก่อสร้าง 1000 จากร้านค้า
  • อายุการใช้งานของรถ 5 ปี จาก spec
  • ค่าซ่อมบำรุง 130 % ของค่าเสื่อมราคาต่อปี จากตาราง
  • ราคายาง 5000 จากร้านค้า
  • ค่าซ่อมบำรุงรักษายาง 15 % ของค่าเสื่อมราคายาง จากการวางแผน
  • ราคาน้ำมันเบนซิน 20 บาท / ลิตร จากร้านค้า

 

ขั้นตอนการคำนวณ            
               
1. เงินลงทุนเฉลี่ยต่อปี = [ราคาซื้อ + ค่าขนส่ง + ราคาเมื่อหมดสภาพ ] / 2 = ราคาเมื่อหมดสภาพถือเป็นต้นทุนค่าเสียโอกาสของเงิน
    = [75000 + 1000 + 7500 ] / 2 = 41,750    
               
2. อัตราการใช้น้ำมัน = จำนวนแรงม้า x ประสิทธิภาพการทำงาน x อัตราการใช้น้ำมัน        
    = 120 x ( 40 / 100 ) x 0.2271 ลิตร ต่อ แรงม้า ต่อ ชั่วโมง = 10.90   ลิตร / ชั่วโมง
               
3. ค่าใช้จ่ายต่อปี            
 

ค่าเสื่อมราคา

= [ราคาซื้อ + ค่าขนส่ง - ราคายาง - ราคาเมื่อหมดสภาพ] / อายุการใช้งาน    
    = [75000 + 1000 - 5000 - 7500] / 5 = 12700    
               
 

ค่าซ่อมบำรุง

= 130 % ของค่าเสื่อมราคาต่อปี        
    = [130 / 100] x 12700 = 16510    
               
 

ค่าดอกเบี้ย ภาษี ประกันภัย ค่าเก็บรักษา

= 11 % ของเงินทุนเฉลี่ยต่อปี        
    = [11/100] x 41,750 = 4593    
               
 

รวมค่าใช้จ่ายต่อปี

= 12700 + 16510 + 4593 = 33803    
               
4. ค่าใช้จ่ายต่อชั่วโมง            
 

ค่าเครื่องจักรเครื่องมือ

= รวมค่าใช้จ่ายต่อปี / ชั่วโมงการทำงานต่อปี        
    = 33803 / 1800 = 18.78    
               
  ค่าเสื่อมราคาของยาง = ราคายาง / อายุการใช้งานของยาง        
    = 5000 / 4000 = 1.25    
               
  ค่าบำรุงรักษายาง = 15 % ของค่าเสื่อมราคาของยาง        
    = 0.15 x 1.25 = 0.19    
               
  ค่าน้ำมันเชื้อเพลิง = อัตราการใช้น้ำมัน x ราคาน้ำมัน        
    = 10.90 x 20 = 218    
               
  ค่าน้ำมันหล่อลื่น = 10 % ของค่าน้ำมันเชื้อเพลิง        
    = [10 / 100] x 218 = 21.80    
               
  รวมค่าใช้จ่ายของรถต่อชั่วโมง = 18.78 +  1.25 + 0.19 + 218 + 21.80 = 260.02   บาท ต่อ ชั่วโมง
               
5.

ค่าจ้างคนขับโดยเฉลี่ย

    = 100   บาท ต่อ ชั่วโมง
 

ค่าบริหาร และ จัดการแรงงาน

= 50 % ของค่าจ้างแรงงาน        
    = [50 / 100 ] x 100 = 50   บาท ต่อ ชั่วโมง
  รวมค่าจ้างคนขับและค่าบริหารจัดการ = 100 + 50 = 150   บาท ต่อ ชั่วโมง
  กำไรต่อหน่วย ( Profit Margin) ที่ต้องการ = 10 % ของค่าจ้างคนขับและค่าบริหารจัดการ        
    = [10/100] x 150 = 15   บาท ต่อ ชั่วโมง
  รวมค่าแรงสุทธิ = ค่าจ้างคนขับ + ค่าบริหาร และ จัดการแรงงาน + กำไร        
    = 100 + 50 + 15 = 165   บาท ต่อ ชั่วโมง
               
6.

ค่าบริหารจัดการการใช้เครื่องจักรเครื่องมือ

= 20 % ของค่าใช้จ่ายของรถต่อชั่วโมง        
    = [20 / 100] x 260.02 = 52.004   บาท ต่อ ชั่วโมง
 

รวมค่าใช้จ่ายของรถและค่าบริหารจัดการ

= ค่าใช้จ่ายของรถต่อชั่วโมง + ค่าบริหารจัดการ        
    = 260.02 + 52.004 = 312.024   บาท ต่อ ชั่วโมง
  กำไรต่อหน่วย ( Profit Margin) ที่ต้องการ = 10 % ของค่าใช้จ่ายของรถและค่าบริหารจัดการ        
    = [10 / 100 ] x 312.024 = 31.2024   บาท ต่อ ชั่วโมง
  รวมค่าใช้จ่ายของรถสุทธิ = ค่าใช้จ่ายของรถต่อชั่วโมง + ค่าบริหารจัดการ + กำไร        
    = 260.02 + 52.004 + 31.2024 = 343.23   บาท ต่อ ชั่วโมง
               
7.

ราคาค่าเช่ารถ

= ค่าแรงสุทธิ + ค่าใช้จ่ายของรถสุทธิ        
    = 165 + 343.23 = 508.23   บาท ต่อ ชั่วโมง
               
8.

ปริมาณงานที่รถบรรทุกสามารถทำงานได้  ซึ่งจะได้จากการคำนวณ

= 200   LCM / h
  ต้นทุนค่าใช้จ่าย = ราคาค่าเช่ารถ / ปริมาณงานที่ทำได้        
    = 508.23 / 200 = 2.541   บาท / LCM

 


rscelaw@yahoo.com

ปรับปรุงแก้ไข จันทร์, 26 ธันวาคม 2548 15:51:06